ส่วนใหญ่การลดน้ำหนักที่ถูกต้องตามหลักการแพทย์มักจะไม่ค่อยมีปัญหาผมร่วงตามมา แต่คนส่วนใหญ่มักลดน้ำหนักโดยใช้ยาลดน้ำหนักหรือการอดอาหารเพื่อควบคุมแคลอรี่ให้ต่ำมากๆหวังผลให้น้ำหนักลดนั่นเอง ดังนั้นสารอาหารสำคัญไม่ว่าจะเป็น โปรตีน รวมไปถึงวิตามินแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการงอกของเส้นผมก็ถูกรับประทานได้น้อยลงเช่นกัน
เมื่อร่างกายได้รับพลังงานที่ต่ำกว่าความต้องการ สารอาหารโปรตีนไม่ถึงระดับ และแร่ธาตุวิตามินต่ำลง ร่างกายจึงเข้าสู่สภาวะอดอาหาร โดยจะใช้สารอาหารที่มีอยู่อย่างจำกัดส่งให้อวัยวะที่มีความสำคัญต่อการมีชีวิตอยู่(Vital organ) เช่น สมอง หัวใจ เป็นอันดับแรก ส่วนเซลล์รากผมไม่ได้ถือว่าเป็นอวัยวะสำคัญ ร่างกายจึงมีการปรับตัวในช่วงที่อดอาหาร ทำให้วงจรการงอกของเส้นผมเปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ รากผมระยะเติบโต (Anagen Phase) เปลี่ยนเป็น ระยะหลุดร่วง (Telogen Phase) มากขึ้น เมื่อระยะเวลาผ่านไป 3 เดือน ผมระยะหลุดร่วงจะร่วงออกมาจากหนังศีรษะ ทำให้ปริมาณผมที่ร่วงในแต่ละวันสูงกว่าปกตินั่นเอง บางรายอาจร่วงได้ถึงวันละ 200-700 เส้นเลย ซึ่งภาวะนี้ทางการแพทย์เรียกว่า Telogen effluvium หรือภาวะผมร่วงที่มีสาเหตุกระตุ้น นั่นเอง
ลดน้ำหนักยังไง ผมถึงไม่ร่วง
1. ค่อยๆลดอย่างปลอดภัย
การลดน้ำหนักที่ปลอดภัยต่อร่างกายและเส้นผม ควรลดเพียง 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ เนื่องจากการลดน้ำหนักที่เร็วเกินไปมักเกิดจากการที่อดอาหารอย่างหนักจนสารอาหารทีได้ต่ำกว่าค่าความต้องการพื้นฐานของร่างกาย(Basal metabolic rate) ร่างกายจึงเข้าสู่ภาวะอดอาหาร ทำให้ผมร่วงรุนแรงตามมาได้
2. ต้องรับประทานโปรตีนให้ถึงเป้า
เซลล์รากผมต้องการกรดอะมิโนจากโปรตีนในอาหาร ดังนั้นการรับประทานโปรตีนไม่เพียงพอจึงทำให้ผมร่วงนั่นเอง โดยปกติร่างกายมนุษย์ต้องการโปรตีนเฉลี่ย 0.8-1 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว ต่อวัน แต่ในกรณีลดน้ำหนัก ควรรับประทานโปรตีนให้ได้วันละ 1-1.2 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวัน
3. แร่ธาตุสารอาหารผมต้องครบ
เซลล์รากผมนั้นจำเป็นต้องใช้แร่ธาตุและวิตามินหลายชนิดในการเจริญเติบโต โดยวิตามินที่เป็นตัวสำคัญได้แก่ ธาตุเหล็ก, สังกะสี, ทองแดง, ไบโอติน เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งธาตุเหล็กนั้นมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อวงจรการเจริญเติบโตของเส้นผม